การฉีดเมโสแฟตแขน แขนเล็กลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ฉีดเมโสแฟตแขน วิธีลดต้นแขนใหญ่ ลดไขมันเฉพาะจุด ปรับแขนเล็กเรียวโดยไม่ต้องผ่าตัด
แขนใหญ่ แขนย้วยเพราะไขมันเยอะ อยากแขนเรียวแต่ไม่กล้าดูดไขมัน การฉีดเมโสแฟตเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะแม้จะไม่ได้เห็นผลทันทีหลังฉีดแต่ก็เจ็บน้อยกว่าแถมยังไม่ต้องพักฟื้น หลายคนจึงสนใจหัตถการนี้ ว่าแต่การฉีดเมโสแฟตต้นแขนมีข้อมูลอะไรที่น่าสนใจบ้าง ตามมาดูกันได้ที่นี่เลย
การฉีดเมโสแฟตแขน
ปัญหาแขนใหญ่อาจเกิดได้จากกล้ามเนื้อและการสะสมของไขมันส่วนเกิน แต่ถ้าเกิดจากไขมันสามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ โดยการยกแขนขึ้นทำมุม 90 องศา ท้องแขนจะห้อยย้อยหรือจับดูแล้วจะนุ่มนิ่ม ซึ่งบางทีไม่ต้องจับก็สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า การฉีดเมโสแฟตต้นแขนจะฉีดลึกลงไปใต้ชั้นผิวประมาณ 5-10 มิลลิเมตร จากนั้นตัวยาจะเริ่มสลายไขมัน โมเลกุลไขมันจะเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองก่อนจะถูกออกจากร่างกายตามกลไกธรรมชาติ โดยการฉีดเมโสแฟตหนึ่งครั้งจะช่วยกำจัดไขมันได้ 10-25% ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนหลังจากฉีดด้วย
นอกเหนือจากต้นแขนแล้ว เมโสแฟตยังใช้ฉีดกำจัดไขมันได้อีกหลายจุดทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นแก้ม คาง หน้าท้อง สะโพก ต้นขา เป็นต้น แต่บริเวณที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือใบหน้าและลำคอนั่นเอง
ฉีดเมโสแฟตแขน อันตรายหรือไม่
ปกติแล้วตัวยาเมโสแฟตที่มีมาตรฐานและผ่านการรับรองความปลอดภัยจากอย.มาแล้วจะผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ มักเป็นสารที่มีสรรพคุณในการสลายไขมัน กระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญและลดการสะสมของไขมันใหม่ สามารถสลายได้เองโดยไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างในร่างกาย เพราะฉะนั้นจึงมีความปลอดภัยสูง หมดกังวลเรื่องอาการแพ้ ฉีดแล้วช่วยสลายไขมันในบริเวณที่ฉีดได้เป็นอย่างดี ผิวกระชับ ไม่ย้วย ไม่เป็นคลื่น อย่างไรก็ตามเมโสแฟตเป็นตัวยาที่ช่วยลดไขมันได้เพียงบางส่วน เพราะฉะนั้นการฉีดครั้งแรกอาจไม่เห็นมากนักในคนไข้บางราย โดยเฉพาะในผู้ที่มีไขมันสะสมอยู่ปริมาณ อาจต้องฉีดซ้ำ 2-5 ครั้ง จึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ฉีดเมโสแฟตแขนร่วมกับฉีดโบท็อกซ์ ได้หรือไม่
ก่อนฉีดเมโสแฟต ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ประเมินก่อนว่าแขนใหญ่เพราะสาเหตุใด หากแขนใหญ่เพราะกล้ามเนื้อและไขมันร่วมด้วย ก็สามารถฉีดได้ทั้งเมโสแฟตและโบท็อกซ์ไปพร้อมกัน แต่ถ้าเป็นเพราะไขมันอย่างเดียวแต่ไขมันที่สะสมอยู่มีปริมาณเยอะมาก การฉีดเมโสแฟตอาจไม่ใช่ทางเลือกที่คุ้มค่า เพราะจะต้องใช้ตัวยาปริมาณมากนั่นเอง แพทย์อาจแนะนำให้ลดไขมันด้วยวิธีอื่น เช่น กำจัดไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting) หรือการดูดไขมัน เป็นต้น
ขั้นตอนการฉีดเมโสแฟตแขน
• แพทย์จะผสมยาและฉีดตัวยาลงไปใต้ผิวหนัง ลึก 5-10 มิลลิเมตร จุดละ 0.2-0.5 ซีซี ฉีดห่างกันจุดละ 2 เซนติเมตร
• ฉีดเมแฟตซ้ำ ในผู้ที่มีปริมาณไขมันมาก แพทย์จะแนะนำให้ฉีดซ้ำ 2-5 ครั้งขึ้นอยู่กับปริมาณไขมัน โดยฉีดทุก 5-7 วัน
• ไขมันเริ่มสลายตัว โดยจะเริ่มสลายทันทีหลังฉีด ไขมันจะถูกกำจัดออกไปได้ 10-25% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด หากฉีดครบคอร์สตามที่แพทย์แนะนำ จะสามารถลดไขมันได้มากถึง 50-80% เลยทีเดียว
• ไม่มีผลข้างเคียง หลังฉีดอาจมีรอยเข็มขนาดเล็กเหมือนการฉีดยาทั่วไป หากฉีดโดนเส้นเลือดฝอยเล็กๆ ผิวอาจเขียวช้ำเล็กน้อย แต่อาการจะดีขึ้นในเวลาไม่นาน ส่วนอาการบวมน้ำยาจะอยู่เพียง 2-4 ชั่วโมง จากนั้นผิวก็จะยุบกลับคืนสู่สภาพเดิม
ฉีดเมโสแฟตแขน กี่วันเห็นผล
เมื่อฉีดเมโสแฟตแล้วไขมันจะเริ่มสลายตัวทันที จึงเห็นผลตั้งแต่สัปดาห์แรก แต่ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นชัดเจนที่สุดเมื่อฉีดครบ 2-3 สัปดาห์ ทั้งนี้ถ้าควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดียิ่งขึ้น ไขมันใหม่สะสมช้าลง ผลลัพธ์จะคงอยู่นานขึ้นนั่นเอง
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดเมโสแฟตแขน
• ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพราะโมเลกุลไขมันที่แตกตัวออกมาจะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นหลัก หากดื่มน้ำให้มากๆ ก็จะปัสสาวะบ่อยขึ้น ร่างกายกำจัดไขมันออกมาได้เร็วยิ่งขึ้น
• หลีกเลี่ยงการทำทรีทเมนท์ โดยหลีกเลี่ยงอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นการขัดผิว แว็กซ์ขน นวด สปา ซาวน่าฯลฯ เพื่อลดการฟกช้ำ นอกจากนี้อย่าลืมงดดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ด้วย
• ควบคุมอาหาร ทานอาหารให้หลากหลายและครบถ้วน 5 หมู่ แต่จำกัดปริมาณอาหารที่มีไขมันสูง อาหารรสหวานจัดและอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันกลับมาสะสมได้อีก อย่าลืมมีวินัยในการออกกำลังกายด้วย จะช่วยให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปได้ด้วยดียิ่งขึ้น
สรุป ฉีดเมโสแฟตแขน เห็นผลจริงไหม ?
หากมีปัญหาแขนใหญ่แล้วกำลังมองหาทางลัดสำหรับกำจัดไขมันที่ต้นแขน การฉีดเมโสแฟตเป็นทางเลือกที่ดี เพราะมีประสิทธิภาพสูงในการสลายไขมันเฉพาะจุด ช่วยให้แขนเรียวเล็กลงโดนไม่ต้องผ่าตัด เจ็บน้อย เห็นผลไว ไม่ต้องพักฟื้น อีกทั้งเมโสแฟตก็เป็นตัวยาที่ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัย ไม่มีปัญหาสารเคมีตกค้าง ฉีดแล้วปลอดภัยต่อร่างกาย สำหรับใครที่สนใจจะฉีดก็แนะนำให้เข้าไปพบแพทย์ก่อนเพื่อขอคำปรึกษา หากไม่สะดวกก็ปรึกษาตามช่องทางออนไลน์ของคลินิกได้ แต่ต้องเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์เป็นผู้ตอบคำถามด้วยตัวเอง จะช่วยให้ผู้เข้ารับบริการเข้าใจในปัญหาของตัวเองมากยิ่งขึ้น