Homeสาระน่ารู้สิวเสี้ยน เกิดจากอะไร วิธีลดสิวเสี้ยนอย่างเห็นผล

สิวเสี้ยน เกิดจากอะไร วิธีลดสิวเสี้ยนอย่างเห็นผล

สารบัญหน้า

สิวเสี้ยน เกิดจากอะไร วิธีลดสิวเสี้ยนอย่างเห็นผล

สิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa)เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง สิวเสี้ยนนั้นจะมีกระจุกขนเล็กๆ เกิดจากความผิดปกติในการสร้างขนของรูขุมขน ทำให้สร้างขนมากกว่าปกติ มีลักษณะคล้ายสิวอุดตันหัวดำ เพียงแต่ยื่นออกมาทางรูขุมขนจำนวนมาก ปกติแล้วรูขุมขน 1 รูจะมีขนเกิดขึ้นเพียง 1-4 เส้น แต่ถ้าเป็นสิวเสี้ยนขนอาจจะเกิดขึ้นมาห้าถึง 5-25 เส้นใน 1 รู ลักษณะคล้ายเสี้ยนเล็กๆโผล่พ้นผิวขึ้นมาเล็กน้อย พบได้มากและสังเกตเห็นได้ง่ายบริเวณปลายจมูก ข้างแก้ม หน้าผาก และคาง สิวเสี้ยนเกิดจากความผิดปกติในการทำงานของการผลิตขนของรูขุมขน ที่สร้างเส้นขนที่ผิดปกติและอุดตันภายในรูขุมขนรวมกันเป็นสิวเสี้ยน แต่สาเหตุการกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิวเสี้ยนนั้นทางการแพทย์ยังไม่ทราบผลแน่ชัด
บริเวณที่สิวเสี้ยนมักเกิดขึ้นบ่อยได้แก่ บริเวณหน้าผาก คาง และจมูก สิวเสี้ยนบริเวณดังกล่าวมักจะถูกสับสนทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นสิวหัวดำ ซึ่งหากตั้งใจมองด้วยตาเปล่าจะสามารถเห็น.ความแตกต่างของทั้ง 2 อย่างได้ โดยแตกต่างกันตรงที่สิวหัวดำเป็นสิวอุดตันชนิดหนึ่งที่มีสิ่งอุดตันอย่างเซลล์ผิวเก่าดันรูขุมขนให้เปิดกว้าง จนสามารถมองเห็นสิ่งสกปรกอุดตันได้จากการนูนเป็นเม็ดของสิว และสิวเสี้ยนจะเป็นกลุ่มของเส้นขนขนาดเล็กนั่นเอง

สิวเสี้ยน เกิดจากอะไร

สาเหตุการเกิดสิวอุดตัน

1. เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและอายุ

โดยส่วนใหญ่จะเกิดในขึ้นในวัยรุ่นที่มีระดับฮอร์โมนไม่คงที่ ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง โดยฮอร์โมนที่ไม่คงที่อาจส่งผลต่อการกระตุ้นรูขุมขนให้เกิดสิวได้ นอกจากปัญหาด้านฮอร์โมนที่มีในวัยรุ่นแล้ว ผู้ที่ใช้ยาฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิดก็เป็นตัวแปลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนด้วยเช่นกัน ส่งผลให้เกิดการผลิตน้ำมันส่วนเกินของผิวและการผลัดเซลล์ผิวบ่อยกว่าปกติ อายุก็มีส่วนส่งผลให้ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย

2. การอุดตันของรูขุมขน

เป็นการอุดตันของมลภาวะจากสิ่งสกปรกและเครื่องสำอางบางประเภท ที่ทำให้เกิดการอุดตันและสาเหตุของการก่อให้เกิดสิวเสี้ยนได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น การทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของน้ำมันและแป้งฝุ่นมากเกินไป ซึ่งอาจจะทำให้เข้าไปอุดตันในรูขุมขนและเกิดเป็นสิวเสี้ยนได้ หากทำความสะอาดผิวหน้าได้ไม่สะอาดอย่างเพียงพอก็เป็นสาเหตุของการอุดตันได้เช่นกัน

3. การสัมผัสผิวหน้าอย่างรุนแรง

ผิวหน้าที่ถูกการสัมผัสอย่างรุนแรงจะเกิดการระคายเคืองกับผิวบริเวณนั้นๆ ซึ่งเป็นกระตุ้นและเป็นอีกสาเหตุของการเกิดสิวเสี้ยนได้ไม่ว่าจะเป็นการบีบ การเกา การใช้สารเคมีใบบริเวณผิวหน้า การลอกผิวหรือการขัดผิวหน้าซึ่งเป็นปัจจัยในการก่อให้เกิดการระคายเคืองของผิวหน้า ล้วนเป็นการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบบนผิวหน้า และเป็นสาเหตุของการเกิดสิวเสี้ยนได้เช่นกัน

4. เกิดจากการที่ต่อมไขมันทำงานผิดปกติ

การที่ต่อมไขมันทำงานผิดปกติทำให้ผลิตไขมันออกมามากเกินไป จนทำให้เป็นสาเหตุของเกิดการอุดตันขึ้นได้ง่าย ยิ่งถ้าถูกกระตุ้นโดยรังสี UV จากแสงแดด ก็ทำให้ต่อมไขมันทำงานอย่างหนัก จึงเป็นอีกสาเหตุของการเกิดสิวและสิวเสี้ยนได้

5. เชื้อแบคทีเรีย

เชื้อแบคทีเรียเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการก่อให้เกิดสิวและสิวเสี้ยนบนใบหน้า เชื้อแบคทีเรียดังกล่าวสามารถแพร่กระจายได้ในรูปแบบของ ของเหลวใต้ผิว หากยิ่งมีการกดหรือบีบสิวอาจจะทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายไปยังบริเวณใกล้เคียงได้อีกด้วย และเชื้อแบคทีเรียยังก่อให้เกิดการสร้างไขมันอิสระบนใบหน้าที่มากเกินไป และเป็นสาเหตุที่ว่าหลังการบีบสิวจะมีสิวใหม่เกิดขึ้นบริเวณใกล้เคียงเพราะเชื้อแบคทีเรียได้เกิดการแพร่กระจายนั้นเอง

สิวเสี้ยนเกิดบริเวณไหนบ้าง

โดยส่วนใหญ่สิวเสี้ยนมักเกิดขึ้นบนบริเวณที่มีปัญหาในเรื่องรูขุมขน และบริเวณที่พบได้บ่อย คือ
– บริเวณหน้าผาก
– บริเวณขอบปากและมุมปาก
– บริเวณจมูก ซอกข้างจมูกทั้ง2ข้าง
– บริเวณระหว่างคิ้ว
– บริเวณหลังและระหว่างอก
– บริเวณคาง ใต้คาง และกรอบหน้า

สิวหัวดำและสิวสิวเสี้ยนแม้จะมีลักษณะภายนอกคล้ายกัน หากมองใกล้ๆจะแตกต่างกัน โดยสิวหัวดำนั้น ลักษณะจะเป็นก้อนสิวกลมๆ นูนขึ้นมาจากบริเวณผิวขึ้นมาไม่มากนักหากใช้มือสัมผัสบริเวณดังกล่าวจะให้ความรู้สึกเหมือนมีตุ่ม ส่วนสิวเสี้ยนนั้น ลักษณะจะเป็นเหมือนเสี้ยนเล็กๆ สีเดียวกันกับขนส่วนอื่นๆ บนร่างกาย ถ้าใช้มือสัมผัสจะรู้สึกเหมือนมีเสี้ยนเล็กๆอยู่บนบริเวณดังกล่าว

วิธีการรักษาสิวเสี้ยน

สิวเสี้ยวเป็นโรคผิวหนังอย่างหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะสิวเสี้ยนเป็นโรคที่เกิดขึ้นที่ชั้นผิวหนังด้านบน และไม่สามารถพัฒนาเป็นโรคอย่างอื่นได้อีก ไม่เป็นอันตราย มักจะเกิดสิวเสี้ยนบริเวณที่มีปัญหาด้านรูขุมขนที่กว้างร่วมด้วย ส่วนมากจะทำการรักษาสิวเสี้ยนเป็นการรักษาเพื่อความงามเท่านั้น ไม่ได้มีเหตุผลเกี่ยวกับสุขภาพแต่อย่างใด การรักษาสิวเสี้ยนจะเป็นการกำจัดกลุ่มขนออก เพื่อให้สิวเสี้ยนบนใบหน้าหายไป โดยมีวิธีรักษาดังนี้

1. กดสิวเสี้ยนด้วยที่กดสิว

การกดสิวเสี้ยนด้วยเครื่องมือกดสิว เป็นวิธีที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน เป็นการนำกลุ่มสิวเสี้ยนออกเช่นเดียวกับการถอนไม่ควรใช้แรงบีบหรือเค้นบริเวณที่กดแรงๆ เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหน้าเกิดอักเสบ มีรอยแดง หรือแผลเกิดขึ้นบนใบหน้าได้ การกดสิวเสี้ยนเองจะช่วยนำเอาเส้นขนพร้อมกับกลุ่มสิ่งที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนออกไปพร้อมกัน ไม่ควรใช้มือบีบเอง เพราะเล็บอาจจะสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเกิดแผลเป็นหลังบีบได้ ก่อนการกดต้องควรดูแน่ใจก่อนว่าเป็นสิวเสี้ยน ไม่ใช่สิวหัวดำที่เป็นสิวอุดตัน จะได้ไม่ทำให้เกิดการอักเสบของสิวได้

2. ลอกสิวเสี้ยนด้วยมาสก์ลอกสิว

การใช้แผ่นมาร์คลอกสิวเป็นอีกวิธีที่ช่วยลดสิวเสี้ยนที่สามารถทำเองได้ที่บ้านและได้รับความนิยมเพราะสามารถกำจัดสิวเสี้ยนได้เองในบริเวณกว้างได้ในครั้งเดียว เหมาะสำหรับคนที่มีสิวเสี้ยนเป็นจำนวนมาก สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านค้าชั้นนำหรืออาจใช้วัตถุดิบภายในครัวเรือนในการลอกสิวเสี้ยนก็ได้ เช่นนำไข่ขาวมาใช้ การลอกสิวเสี้ยนอาจทำให้ผิวแห้งลอกได้ ไม่ควรใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยนบ่อย เพราะจะทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวเกิดการแห้งจนเกินไปและทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง หากใครที่มีผิวบอกบางอาจเกิดการอักเสบของผิวได้

3. ถอนสิวเสี้ยนด้วยแหนบ

การถอนสิวเสี้ยนด้วยแหนบ เป็นอีกวิธีที่ได้เห็นผลทันที ผลลัพธ์ที่ได้คือ กลุ่มขนที่เป็นสิวเสี้ยนหายไปผิวเรียบเนียนขึ้น แต่ควรเลือกในแหนบที่เหมาะสมกับการถอนสิวเสี้ยน โดยการใช้แหนบปลายแหลม เนื่องจากสามารถเข้าถึงพื้นที่บริเวณเล็กๆ ได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวเสี้ยนน้อย ต้องระวังปลายแหนบอาจทิ่มผิวจนเกิดแผลและทำให้เกิดการระคายเคืองได้ การถอนสิวเสี้ยนด้วยแหนบเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ทางที่ดีควรทำการถอนสิวเสี้ยนควบคู่ไปกับวิธีอื่นที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวเสี้ยน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวเสี้ยนซ้ำ

4. การสครับผิว

การสครับผิวบริเวณที่เป็นสิวเสี้ยนสามารถช่วยลดสิวเสี้ยนได้ จากข้อดีหลายๆประการถือเป็นการผลัดเซลล์ผิวไปในตัว แถมยังช่วยในเรื่องการลดการอุดตันในรูขุมขน ป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกตกค้างบนผิว ควรสครับอย่างเบามือเพราอาจจะทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคือง และไม่ควรสครับผิวหน้าบ่อย เนื่องจากการขัดผิวด้วยของแข็งเป็นประจำอาจทำให้ผิวระคายเคืองจนเกิดการอักเสบขึ้นได้ และยังทำให้ผิวบางแพ้ง่ายและไวต่อแสงมากขึ้น อาจเป็นการกระตุ้นให้เป็นโรคผิวหนังจากสภาพวะสิ่งแวดล้อมหรือสารเคมีต่างๆได้ง่ายขึ้น

5. การใช้สกินแคร์ลดสิวเสี้ยน

สกินแคร์และเซรั่มที่ช่วยในการลดสิวเสี้ยน หรือครีมลดสิวเสี้ยน โดยส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของกรด BHA และ LHA ประกอบอยู่ด้วย เพื่อช่วยในเรื่องของการผัดเซลล์ผิว สามารถช่วยลดสิวเสี้ยนได้ ทำให้ใบหน้าเรียบเนียน สิวเสี้ยนลดลง ไม่ควรใช้บ่อยจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้าและทำให้หน้าบาง ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น

6. การใช้สารเคมีลอกผิว

การใช้สารเคมีลอกผิวเป็นการรักษาที่ต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น โดยแพทย์จะรักษาโดยการใช้กรดกัดผิวในบางบริเวณเพื่อรักษาโรคผิวหนังต่างๆ การรักษาโดยการใช้กรดเป็นวิธีการรักษาสิวเสี้ยนอย่างหนึ่งเช่นกัน โดยจะใช้สารเคมีที่สกัดได้ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิวชั้นบนและขจัดไขมันที่อุดตันทำให้สิวเสี้ยนหลุดลอกและช่วยลดการเกิดสิวเสี้ยนได้

7. การทำเลเซอร์สิวเสี้ยน

การทำเลเซอร์ (Laser) เป็นการรักษาสิวเสี้ยนอีกอย่างหนึ่งด้วยการกำจัดขน จะเป็นการให้สิวเสี้ยนหลุดลอกออกด้วยการเปิดรูขุมขน ทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกได้ง่าย เพราะสิวเสี้ยนเกิดจากรูขุมขนที่สร้างขนมากเกินไป การกำจัดขนไม่ให้งอกขึ้นมาจึงเป็นการแก้ปัญหาสิวเสี้ยนที่ต้นเหตุ เห็นผลดีแม้สิวเสี้ยนที่มีหัวสิวอยู่ลึก สามารถป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนได้ในระยะหนึ่ง เลเซอร์จะทำให้เส้นขนถูกกำจัดออกไปได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง ควรทำเลเซอร์ต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง คล้ายกับการกำจัดขนทั่วไป ซึ่งแต่ละครั้งจะต้องห่างกันประมาณ 4-6 สัปดาห์ แต่การทำเลเซอร์ก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน ผู้เข้ารับการรักษาบางรายอาจเกิดแผล พุพอง ตกสะเก็ด ผิวหนังผลิตเม็ดสีผิดปกติชั่วคราว หรืออาจเป็นแผลหลังทำก็ได้ ด้วยเป็นการใช้ความร้อนจากแสงเลเซอร์ ก่อนการทำเลเซอร์ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนและประเมินความเสี่ยงจากการทำเลเซอร์ เพื่อลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียง

8. การทำ IPL

การทำ IPL (Intense Pulsed Light) นิยมใช้ในการรักษาโรคผิวหนังหรือใช้ปรับสภาพผิวในปัจจุบัน จะคล้ายกับการกำจัดขนของเลเซอร์ ต่างกันที่ชนิดของลำแสงที่ใช้การรักษา IPL ในปัจจุบันได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากหลายๆบริษัทได้ผลิตเครื่องแบบพกพา สามารถทำเองได้ง่ายที่บ้านโดยไม่ต้องทำผ่านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเหมือนกับการทำเลเซอร์ เพราะเลเซอร์จะใช้พลังงานที่สูงกว่าเป็นการใช้ลำแสงกำจัดขนที่เฉพาะเจาะจงมากกว่าให้ผลข้างเคียงน้อยกว่า และกำจัดขนได้ไวกว่าจึงไม่ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำ ILP ให้ เครื่องแบบพกพานั้นค่อนข้างปลอดภัยสามารถทำเองได้ที่บ้าน หากกังวลในเรื่องของผลข้างเคียงสามารถปรึกษากับแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญได้

9. การฉีดเมโสหน้าใส

การฉีดเมโสหน้าใส สามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของการเห็นผลช้าในการบำรุงผิวหน้าอย่างการทาครีมทั่วไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการใช้ระยะเวลานานในการเห็นผล แต่การฉีดเมโสหน้าใสจะทำให้สารสกัดที่ช่วยบำรุงผิวต่างๆเข้าสู่ผิวชั้นกลางโดยตรง คือการนำวิตามินฉีดเข้าชั้นผิวหนังโดยตรง ทำให้เห็นผลลัพธ์เร็วขึ้นกว่าการบำรุงทั่วไป ตัวยาจะช่วยกระชับรูขุมขน ลดการเกิดสิวเสี้ยน ช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ซึ่งเมโสหน้าใสแต่ละยี่ห้อจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป ควรศึกษาและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เหมาะกับคนที่ขี้เกียจทาครีมและต้องการเห็นผลเร็ว คนที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเองคนที่ต้องการผลลัพธ์แบบเร่งด่วน พักผ่อนน้อย หลังการฉีดเมโสหน้าใสจะเห็นผลได้ภายในสามวันหลังฉีด และผู้ที่ต้องการเห็นผลชัดเจนจะอยู่ในช่วงเวลา 7-14 วัน

10. การฉีดรีจูรัน

การฉีดรีจูรัน (Rejuran) คือการนำเอาตัวยาที่มีส่วนประกอบหลักจากสารสกัดจากพอลินิวคลีโอไทด์ (polynucleotide) นำมาจากปลาแซลมอน ที่อาศัยอยู่ในทะเลตามธรรมชาติ มาสกัด DNA ซึ่งมีความสามารถในการเข้ากันได้อย่างดีกับร่างกายและไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านของระบบภูมิคุ้มกัน เนื่องจากสารดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับ DNA ของร่างกายมนุษย์มากที่สุด นำมาฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ซ่อมแซมผิวหนังจากภายใน เสริมเกราะป้องกันผิว มีประโยชน์ที่หลากหลายต่อผิวหนัง และแก้ปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพ กระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดการสร้างตัว และฟื้นฟูบาดแผลและช่วยทำให้ผิวหน้ามีออร่า เปล่งปลั่ง ใบหน้าเนียนใส รูขุมขนกระชับลง ช่วยแก้ปัญหาด้านฝ้า กระ จุดด่างดำ ทำให้ผิวดูฉ่ำวาว เปล่งปลั่ง มีออร่า และยังให้ผิวมีสุขภาพดี แข็งแรง รูขุมขนแลดูกระชับ จึงเป็นสาเหตุช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวเสี้ยนได้

11. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผิวหน้า

หากไม่แน่ใจในการใช้วิธีรักษาต่างๆ เราสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อรับการรักษาให้ถูกวิธีและเหมาะสมกับปัญหา บางครั้งเราอาจจะแยกสิวหัวดำกับสิวเสี้ยนเองไม่ได้และรักษาแบบผิดวิธี สาเหตุแตกต่างกันทำให้การรักษาแตกต่างกันไปด้วย เราควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเมื่อต้องการรักษา เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยแยกโรคและแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากโรคผิวหนังมีหลากหลายอย่างและหลากหลายชนิดที่มีลักษณะของรอยโรคคล้ายกัน

วิธีป้องกันสิวเสี้ยน

การรักษาสิวเสี้ยนควรทำควบคู่ไปกับการป้องกัน เพราะรูขุมขนที่กว้างทำให้ง่ายต่อการเกิดสิวเสี้ยน เพราะเกิดจากการสะสมของสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆที่เป็นตัวกระตุ้นให้ รูขุมขนกว้างและรบกวนรูขุมขน คนที่มีผิวมันมีโอกาสการเกิดสิวเสี้ยนได้ง่ายกว่าคนที่มีผิวแห้ง การควบคุมความมันของผิวหน้าจึงเป็นการป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนได้อย่างหนึ่ง แนวทางการป้องกันสิวเสี้ยนเบื้องต้นมีดังนี้

– เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกเป็นตัวกระตุ้นต่อมไขมันในการผลิตน้ำมัน ควรทำความสะอาดใบหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือการระคายเคืองกับผิวหน้า ควรทำความสะอาดวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และช่วยลดการกระตุ้นในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิวจนทำให้เกิดสิวอุดตัน
– การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้น โดยลดโอกาสในการทำให้ผิวแห้งและเกิดการระคายเคืองที่เป็นสาเหตุของการก่อให้เกิดสิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการแพ้ง่ายช่วยลดการระคายเคือง
– เช็ดเครื่องสำอางให้สะอาด ไม่มีสารตกค้าง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนก่อนการทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดการตกค้างของเครื่องสำอางที่เข้าไปอุดตันรูขุมขนและก่อให้เกิดสิว
– ปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิต หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและอาหารที่ทำจากนมวัวเพราะจะเป็นการเข้าไปกระตุ้นในการผลิตฮอร์โมนให้มากกว่าเดิม ควรทานผักและผลไม้ที่มีส่วนช่วยให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานปกติ พักผ่อนให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และผ่อนคลายความเครียด
– สกินแคร์ที่ช่วยกระชับรูขุมขน เมื่อรูขุมขนกว้างทำให้ง่ายต่อการอุดตันและเกิดปัญหาสิวเสี้ยนตามมา จึงต้องหาสกินแคร์ที่เน้นในเรื่องของการกระชับรูขุมขนเพื่อช่วยกระชับลูกขุมขนให้ดูเล็กลง และดูแลปัญหาผิวหน้าไปพร้อมกัน พร้อมกับการช่วยปรับสมดุลให้ผิว ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและคืนความชุ่มชื้นขึ้น อ่อนโยนต่อผิวแพ้ง่ายและสามารถช่วยควบคุมความมันได้

สรุป สิวเสี้ยน เกิดจากอะไร

Topstarclinic การรักษาสิวเสี้ยนสามารถทำได้ด้วยการรักษาให้ผิวมีความแข็งแรงและมีความชุ่มชื้น รูขุมขนกระชับ เพื่อลดโอกาสในการเกิดสิวเสี้ยนและสิวประเภทอื่นๆอีก สามารถลองทำตามที่แนะนำได้เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมกับผิวตนเองมากที่สุดและยังต้องบำรุงและดูแลรักษาผิวหน้าเพื่อลดการเกิดโอกาสการเกิดสิวในระยะยาวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวหน้า ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองเพื่อลดการเกิด อาการแพ้ขึ้นใบหน้า และควรรักษาความสะอาดและพักผ่อนให้เพียงพอ ลดอาการเครียดเพื่อไม่ให้เป็นการกระตุ้นทำให้ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลงและเป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาสิวต่างๆ

RELATED ARTICLES

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

- Advertisment -

Most Popular

Recent Comments